โรคติดเกม : ภัยเงียบที่กำลังคุกคาม
ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีครองโลก เกมคอมพิวเตอร์และเกมมือถือกลายเป็นแหล่งความบันเทิงยอดนิยมสำหรับทุกเพศทุกวัย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สนุกกับเกมได้อย่างปลอดภัย เพราะหากเล่นมากเกินไป เสพติดเกมจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ “โรคติดเกม” ก็อาจกำลังคืบคลานเข้ามาหาคุณได้
ทำความรู้จักโรคติดเกม
โรคติดเกม (Gaming Disorder) จัดเป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะเด่น คือ ผู้ป่วยจะหมกมุ่นกับการเล่นเกมมากจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง เช่น การเรียน การทำงาน ความสัมพันธ์ สุขภาพกาย และสุขภาพจิต ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้โรคติดเกม เป็น 1 ใน 11 โรคใหม่ ภายใต้ International Classification of Diseases ฉบับที่ 11 (ICD-11) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2562
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคติดเกม ตามหลักเกณฑ์ ICD-11
สำหรับเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินเบื้องต้น สามารถเช็คลิสจากพฤติกรรมได้ดังนี้
- เสพติดเกมมากจนไม่สามารถควบคุมการเล่นได้
- เล่นเกมมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้รู้สึกพึงพอใจ
- รู้สึกกระสับกระส่าย หงุดหงิด หรือโมโห เมื่อพยายามลดหรือหยุดเล่นเกม
- หมกมุ่นกับการเล่นเกมเป็นอย่างมาก จนละเลยงานอดิเรก ความสัมพันธ์ และหน้าที่ต่างๆ
- แม้รู้ว่าการเล่นเกมส่งผลเสีย แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดเล่นได้
สัญญาณอันตรายของโรคติดเกม พฤติกรรมที่ส่งสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเข้าข่ายโรคติดเกม มีดังนี้
- เล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยไม่สนใจเวลานอน
- เล่นเกมจนละเลยการเรียน การทำงาน และหน้าที่
- เกิดปัญหาการเงินจากการเติมเงินในเกม
- เกิดความขัดแย้งกับผู้อื่น เนื่องจากการเล่นเกม
- มีอาการทางร่างกาย เช่น ปวดนิ้ว ปวดหลัง ตาพร่า
ผลกระทบของโรคติดเกม โรคติดเกม ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยในหลายด้าน ได้แก่
- ด้านการเรียน : ผลการเรียนตกต่ำ ขาดเรียนบ่อย หนีเรียนเพื่อไปเล่นเกม
- ด้านการทำงาน : ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ขาดงานบ่อย ลาออกจากงาน
- ด้านความสัมพันธ์ : มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับคนรอบข้าง สูญเสียความสัมพันธ์
- ด้านสุขภาพกาย : นอนไม่พอ โรคอ้วน สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ด้านสุขภาพจิต : เกิดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ
แนวทางการรักษาโรคติดเกม
การรักษาโรคติดเกม จำเป็นต้องอาศัยการบำบัดทางจิตวิทยา การบำบัดโดยครอบครัว และการให้ยาในบางกรณี ผู้ป่วยและครอบครัวควรร่วมมือกันเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ
แนวทางป้องกันโรคติดเกม
- จำกัดเวลาการเล่นเกม
- ควรจัดสรรเวลาให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการเล่นเกมติดต่อกันเป็นเวลานาน
- ลองหากิจกรรมอื่นที่น่าสนใจทำ หรือหากิจกรรมที่สามารถทำร่วมกับครอบครัว
- หันมาทำกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจ เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ทำงานอดิเรก เสริมสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
- พูดคุยกับครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อแบ่งเบาความเครียด และสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี
- หากรู้สึกว่าตัวเองติดเกมจนควบคุมไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา
โรคติดเกม เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างรุนแรง การป้องกันตัวเองและคนรอบข้างจากโรคนี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ร่วมกันสังเกตอาการและส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสุขภาพกายและใจ
Ranchu มีทีมนักจิตวิทยาที่มีทักษะเฉพาะทางการให้คำปรึกษา ตรวจประเมินอาการเบื้องต้น และติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด